แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 55
1
ผู้ป่วยโรคหัวใจ ดูแลอย่างไรให้ใจแข็งแรง

การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ เพราะจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและทำให้หัวใจกลับมาแข็งแรงขึ้นได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันคือหัวใจหลักของการดูแลตัวเองค่ะ


1. ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด

ลดเค็มและโซเดียม: หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด, อาหารแปรรูป, และเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง เพราะจะทำให้ร่างกายบวมน้ำและหัวใจทำงานหนักขึ้น

ลดไขมันอิ่มตัว: จำกัดการทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน, หนังไก่, เนย และของทอด

เพิ่มผักผลไม้และใยอาหาร: ทานผักผลไม้ให้มากขึ้น และเลือกอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่วต่างๆ เพื่อช่วยลดคอเลสเตอรอล


2. ออกกำลังกายให้พอเหมาะ

ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย เพื่อเลือกประเภทและปริมาณที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ

การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว หรือการปั่นจักรยาน จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้นและควบคุมน้ำหนักได้

ไม่ควรออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป เพราะอาจทำให้หัวใจทำงานหนักและเป็นอันตรายได้


3. จัดการความเครียดและอารมณ์

ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการของโรคหัวใจ ควรหาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การอ่านหนังสือ, การฟังเพลง, หรือการทำสมาธิ


4. ควบคุมโรคประจำตัว

ผู้ป่วยโรคหัวใจส่วนใหญ่มักมีโรคประจำตัวอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ควรควบคุมโรคเหล่านี้ให้ดีอยู่เสมอ

รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามปรับยาหรือหยุดยาเองโดยเด็ดขาด


5. งดพฤติกรรมเสี่ยง

งดสูบบุหรี่และงดการดื่มแอลกอฮอล์: พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น

การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ค่ะ

2
จัดฟันบางนา: เผยวิธี “ยืดอายุฟันปลอม” ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า “ฟันปลอม” หรือที่ทางทันตกรรมนิยมเรียกว่า “ฟันเทียม” มีหน้าที่สำคัญในการทดแทนฟันแท้ตามธรรมชาติที่สูญเสียไป โดยฟันปลอมนั้นจะมีความสามารถไม่ต่างอะไรเลยกับฟันแท้ตามธรรมชาติ แถมยังมีความแข็งแรงไม่ต่างกัน ส่งผลให้มีคนจำนวนมากนิยมที่จะถอนฟันที่เสียหายและใส่ฟันปลอมทดแทน แต่ถึงอย่างไรก็ตามต่อให้ฟันปลอมจะมีความแข็งแรงขนาดไหน ก็จะต้องมีวันเสียหายหากว่าท่านดูแลรักษาไม่ดีเพียงพอ โดยบางท่านอาจจะใส่ฟันปลอมมาแล้ว 10 ปี ไม่เคยเปลี่ยนแถมยังอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนทำมาใหม่ แต่ฟันปลอมบางท่านอาจจะอยู่มาได้เพียง 5 ปี ก็ต้องทำใหม่เสียแล้ว เพราะเหตุนี้เอง จึงบอกไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วฟันปลอมมีอายุการใช้งานนานขนาดไหน แต่ขึ้นอยู่กับท่านต่างหากว่าทำการดูแลรักษาฟันปลอมของท่านได้ดีและสม่ำเสมอขนาดไหน

โดยในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับวิธีการดูแลรักษาฟันปลอมของท่านให้ถูกต้อง เพื่อยืดอายุฟันปลอมของท่านให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ประโยชน์หลักๆของการใส่ฟันปลอม ?

– ฟันปลอมถือได้ว่าเป็นพระเอกในการป้องกันไม่ให้เกิดฟันเคลื่อนที่ส่งผลให้เกิดฟันเกไม่เป็นระเบียบ โดยฟันปลอมจะเข้าไปทดแทนช่องว่างจากการสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติที่อาจจะทำให้เกิดฟันเคลื่อนได้

– เพิ่มความสวยงาม เสริมบุคลิกให้กับท่านที่สูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาในการใช้ชีวิต คือไม่กล้าพูดคุย ไม่กล้ายิ้ม ทำให้มีปัญหาเรื่องการติดต่อประสานงานต่างๆได้ ฟันปลอมจึงถือได้ว่าเป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มความมั่นใจและเสริมบุคลิกภาพได้เป็นอย่างดี

– อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ฟันมีหน้าที่ในการ กัดฉีกบดเคี้ยวอาหาร แต่หากว่าสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติไปการกัดฉีกบดเคี้ยวอาหารก็จะมีประสิทธิภาพลดน้อยลง แต่เมื่อท่านใส่ฟันปลอมปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเนื่องจากว่า ฟันปลอม สามารถทำหน้าที่ทดแทนฟันแท้ตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี


การดูแลฟันปลอม เพื่อยืดอายุการใช้งาน ?

– ก่อนนอนควรถอดฟันปลอมทุกครั้ง เพื่อให้เหงือกได้พัก และลดแรงกดทับบนกระดูกขากรรไกร

– ควรทำความสะอาดฟันปลอมให้ถูกวิธี และให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียรวมถึงเศษอาหารบนฟันปลอม

– ในขณะที่ไม่ได้ใส่ฟันปลอมควรแช่น้ำไว้ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ฟันปลอมแห้งเพราะอาจจะทำให้เสียรูปทรงได้

– ควรทำความสะอาด เหงือก กระพุ้งแก้ม ลิ้น และเพดานปาก ให้สม่ำเสมอเพื่อไม่ให้เกิดการก่อตัวของเชื้อโรคต่างๆ

– ควรถอดฟันปลอมนำออกมาล้างทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เพื่อขจัดคราบเศษอาหารลดการก่อตัวสะสมของเชื้อโรคต่างๆ

– ถอดจับฟันปลอมอย่างระมัดระวังทุกครั้งเมื่อนำออกมาล้างหรือถอดเก็บ เนื่องจากว่าฟันปลอมสามารถแตกหักได้ง่าย รวมถึงหากตะขอเกี่ยวฟันเบี้ยวก็อาจจะต้องไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการดัดใหม่

– แปรงทำความสะอาดฟันปลอมอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน

– หลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่ช่วยให้ฟันขาว ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารฟอกสีฟัน รวมถึงไม่ควรใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์รุนแรง ในการทำความสะอาดฟันปลอม เพราะอาจจะทำให้ฟันปลอมมีสีที่หมองคล้ำอย่างรวดเร็ว

– หากว่าผู้ที่ใส่ฟันปลอมมีความรู้สึกว่าฟันปลอมที่กำลังใส่อยู่นั้นเริ่มมีความหลวม หรือรู้สึกไม่พอดีเมื่อใส่ฟันปลอมในปาก ให้รีบเข้าพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขฟันปลอม เนื่องจากว่าฟันปลอมหลวมนั้นอาจเป็นต้นเหตุของอาการระคายเคือง ปวดเหงือก และเสี่ยงต่อการติดเชื้อตามมาอีกด้วย

– ที่สำคัญเลยขาดไม่ได้แม้ว่าท่านจะใส่ฟันปลอมทั้งปากก็ตาม นั่นก็คือหมั่นพบทันตแพทย์ตามนัดหมายอย่าให้ขาด รวมถึงตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุก 6 เดือนเป็นอย่างน้อย

ทั้งหมดนี้ก็คือการรักษาและยืดอายุของฟันปลอมให้อยู่กับท่านไปอย่างยาวนาน เพียงทำตามอย่างสม่ำเสมอ

3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
งานฝีมือ ทำผ้าเช็ดปากหรือผ้าเช็ดมือเป็นงานดีไซน์ ที่ไม่เหมือนใคร

แน่นอนค่ะ การทำผ้าเช็ดปากหรือผ้าเช็ดมือด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใครเป็นงานฝีมือที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี ลองดูไอเดียและเทคนิคเหล่านี้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของคุณนะคะ


1. เทคนิคการเพ้นท์ผ้า (Fabric Painting)

ลายทางเรขาคณิต: ใช้เทปกาวแปะลงบนผ้าเพื่อสร้างลวดลายเรขาคณิต แล้วระบายสีผ้าตามช่องว่างที่ต้องการ เมื่อลอกเทปกาวออกจะได้ลวดลายที่คมชัดและดูทันสมัย

ลายดอกไม้และใบไม้: ใช้สีเพ้นท์ผ้าสร้างลวดลายดอกไม้ที่อิสระ หรือใช้เทคนิคการพิมพ์ลายจากดอกไม้และใบไม้จริงเพื่อสร้างลวดลายจากธรรมชาติ

การสาดสี: ใช้วิธีการสาดสีหรือหยดสีผ้าลงบนผ้าเช็ดปาก จะได้ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร และดูเป็นงานศิลปะ


2. เทคนิคการปักผ้า (Embroidery)

การปักชื่อ: ปักชื่อย่อของเจ้าของ หรือคำที่สื่อความหมายดีๆ ลงบนมุมผ้าเช็ดปาก

การปักลวดลาย: เลือกปักลวดลายที่เรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ เช่น ลายใบไม้, ลายเส้นโค้ง, หรือรูปทรงเรขาคณิตเล็กๆ

การปักแบบนูน: ใช้ไหมปักที่มีความหนาหรือใช้เทคนิคการปักแบบนูน เพื่อเพิ่มมิติและความรู้สึกน่าสัมผัสให้กับผ้า


3. เทคนิคการสร้างลวดลายบนผ้า

การมัดย้อม (Tie-Dye): เป็นเทคนิคยอดนิยมที่ให้ลวดลายไม่ซ้ำกันในแต่ละผืน สามารถสร้างสรรค์ลวดลายได้หลากหลายด้วยการมัดผ้าในรูปแบบต่างๆ ก่อนย้อมสี

การพิมพ์ลายจากแม่พิมพ์: แกะสลักแม่พิมพ์จากยางลบหรือมันฝรั่งเป็นรูปทรงที่คุณต้องการ แล้วนำมาพิมพ์ลายลงบนผ้าซ้ำๆ เพื่อสร้างลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์

เมื่อได้ผ้าเช็ดปากที่มีดีไซน์ไม่เหมือนใครแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นของขวัญที่มีคุณค่าทางใจให้กับเพื่อนหรือคนในครอบครัวได้อีกด้วยค่ะ

5
วิธีสร้างอาชีพเสริม จากอาหารไทยคอหมูย่างตะไคร้ เมนูหมูเนื้อนุ่ม หอมกรุ่นกลิ่นตะไคร้ อร่อยทำง่ายได้ที่บ้าน

หากคุณกำลังมองหาอาหารไทยรสชาติดีและปรุงง่ายที่บ้านคอหมูย่างตะไคร้เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ อาหารจานนี้มีคอหมูที่ชุ่มฉ่ำและนุ่มลิ้นผสมผสานกับกลิ่นหอมของตะไคร้ ทำให้เป็นอาหารจานอร่อยที่มีกลิ่นหอม ที่สำคัญคือทำง่ายด้วยส่วนผสมพื้นฐานและเตาปิ้งย่างหรือกระทะที่ใช้ในครัวที่บ้าน คอหมูย่างตะไคร้เป็นเมนูที่ทำง่ายและอร่อย เหมาะสำหรับทำกินเองที่บ้านหรือทำเลี้ยงในงานปาร์ตี้ก็ได้

วัตถุดิบ
คอหมู 500 กรัม (หั่นเป็นชิ้นหนา)
ตะไคร้ 2 ต้น (สับละเอียด)
กระเทียม 3 กลีบ (สับ)
ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนชา
น้ำตาล 1 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

คำแนะนำ
เตรียมน้ำหมัก: ในชาม ผสมตะไคร้สับ กระเทียมสับ ซอสหอยนางรม ซอสถั่วเหลือง น้ำปลา น้ำตาล พริกไทยดำ และน้ำมันพืช คนให้เข้ากัน

หมักหมู: ใส่คอหมูลงในน้ำหมัก โดยให้แน่ใจว่าเนื้อหมูแต่ละชิ้นเคลือบซอสหมักดีแล้ว หมักทิ้งไว้ประมาณ1 ชั่วโมง (หรือข้ามคืนเพื่อรสชาติที่ดีขึ้น)

ย่างหมู: ตั้งกระทะย่างหรือเตาบาร์บีคิวบนไฟปานกลาง ย่างหมูประมาณ4-5 นาทีต่อด้านจนเป็นสีน้ำตาลทองและสุกทั่วกัน หากใช้กระทะธรรมดา ให้ใส่น้ำมันเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ติดกระทะ

พักและหั่น: เมื่อสุกแล้ว ปล่อยให้หมูพักไว้สักสองสามนาที ก่อนที่จะหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

เสิร์ฟพร้อมความอร่อย : เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียว ผักสด และน้ำจิ้มรสเด็ด เช่นน้ำจิ้มมะขามเปียก

เคล็ดลับการย่างคอหมูให้อร่อยที่สุด
ใช้ตะไคร้สดเพื่อให้มีกลิ่นหอมที่สุด
หมักหมูไว้ข้ามคืนเพื่อรสชาติที่เข้มข้นยิ่งขึ้น

เคล็ดลับ:
เพื่อให้คอหมูย่างมีกลิ่นหอมและรสชาติอร่อยยิ่งขึ้น ควรหมักหมูทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือข้ามคืน
หากไม่มีกระทะย่าง สามารถใช้เตาอบหรือเตาถ่านแทนได้
สามารถเพิ่มผักสด เช่น แตงกวา ผักกาดหอม หรือผักชี เพื่อเพิ่มความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการ

หากคุณชอบรสชาติแบบรมควัน ให้เลือกย่างบนเตาถ่าน
คอหมูย่างตะไคร้เป็นเมนูง่ายๆ รสชาติอร่อยที่นำรสชาติไทยแท้มาไว้ที่บ้านของคุณ เหมาะสำหรับมื้ออาหารกับครอบครัวหรือสังสรรค์เล็กๆ ลองชิมแล้วคุณจะติดใจ


6
หมอออนไลน์: ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute pyogenic arthritis)

ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน (acute pyogenic arthritis) เป็นภาวะรุนแรงซึ่งหากปล่อยไว้อาจทำให้ข้อพิการได้

โรคนี้ในปัจจุบันพบได้ค่อนข้างน้อย

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะแบคทีเรีย เช่น เชื้อหนองใน สเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส เมนิงโกค็อกคัส เป็นต้น เชื้อโรคเหล่านี้อาจเข้าไปในข้อโดยตรง (เช่น จากบาดแผลที่บริเวณข้อ) หรือลุกลามจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกายผ่านกระแสเลือดเข้าไปในข้อ


อาการ

เกิดขึ้นฉับพลันทันทีด้วยอาการไข้ หนาวสั่น ข้อบวม แดง ร้อนและปวดมาก มักเป็นเพียง 1-2 ข้อใหญ่ ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อศอก ข้อมือ ข้อเท้า เป็นต้น บางรายอาจมีอาการปวดตามข้อต่าง ๆ นำมาก่อนหลายวัน

ผู้ป่วยอาจมีประวัติได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผลที่บริเวณข้อ หรือมีโรคติดเชื้อของส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอยู่ก่อน เช่น เป็นฝี หนองใน คออักเสบ ปอดอักเสบ ไตอักเสบ เยื่อบุมดลูกอักเสบ เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาเชื้ออาจเข้ากระแสเลือดเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ หรือทำให้ข้อพิการได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบไข้ ข้อบวมแดงร้อน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์ข้อและเจาะดูดหนองจากข้อไปตรวจหาเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่พบ

อาจต้องเจาะระบายหนองออกบ่อย ๆ

นอกจากนี้ต้องให้ผู้ป่วยนอนพัก ยกข้อที่อักเสบให้สูงไว้ และอาจต้องเข้าเฝือกไม่ให้ข้อเคลื่อนไหว เมื่ออาการอักเสบเริ่มทุเลา ควรแนะนำให้ผู้ป่วยบริหารข้อเพื่อป้องกันข้อแข็งหรือพิการ

ผลการรักษา ถ้าเลือกให้ยาปฏิชีวนะได้ถูกต้อง ผู้ป่วยมักจะหายได้ภายใน 7-10 วัน โดยไม่มีร่องรอยของความพิการ แต่ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้องข้ออาจพิการได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น  มีไข้สูงร่วมกับข้ออักเสบ บวมแดงร้อน ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้าหลังกินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรกลับไปพบแพทย์


การป้องกัน

อาจป้องกันด้วยการระวังอย่าให้เกิดบาดแผลที่บริเวณข้อ และถ้ามีบาดแผลหรือเป็นโรคติดเชื้อที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ควรรีบไปรับการรักษากับแพทย์อย่างจริงจัง


ข้อแนะนำ

โรคนี้มีความรุนแรงและอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยาที่กดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น หากสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

7
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)
วิธีขายอาหารจากครัวของคุณสามารถให้ผลตอบแทนและกำไรได้ กุญแจสู่ความสำเร็จในการขายอาหารจากครัวในบ้านของคุณ
สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


8
รถรับจ้างขนของ รถรับจ้างอุดรธานี ขนย้ายของอย่างไรให้รวดเร็วและปลอดภัย

วันนี้จะพาคุณไปทำการวางแผนการ ขนย้ายของ ให้รวดเร็วและปลอดภัยกันค่ะ ก่อนอื่นต้องบอกว่าการขนย้ายของต้องการความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่ว่าของที่ขนย้ายนั้นจะเป็นอะไร ย้ายบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ย้ายร้าน ย้ายไซต์งาน ขนย้ายต้นไม้ หรือขนส่งสินค้าต่าง ๆ แน่นอนค่ะว่าถ้าหากขาดการเตรียมตัวที่ดี อาจเกิดความล่าช้าและเกิดความเสียหายต่อของที่คุณขนย้ายได้ค่ะ ดังนั้นวันนี้ รถรับจ้างอุดรธานี จะช่วยคุณให้การขนย้ายของรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น โดยสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจ และควรจัดการดังนี้ค่ะ


1. วางแผนล่วงหน้า

ก่อนเริ่มต้นการขนย้าย แน่นอนว่าจะต้องทราบวัน-เวลา ที่แน่นอน โดยการกำหนดวันและเวลาในการขนย้ายล่วงหน้า เพื่อให้สามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบค่ะ เมื่อได้วันแล้ว จำเป็นต้องสำรวจของ จำนวนและขนาดของสิ่งของที่ต้องขนย้าย เพื่อเลือกวิธีการขนย้ายที่เหมาะสม เลือกรถที่เหมาะสม รถกระบะ รถหกล้อ รถสิบล้อ การเลือกรถที่เหมาะจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ค่ะ ต้องจัดทำรายการสิ่งของที่ต้องขนย้ายด้วยนะคะ เพื่อป้องกันการสูญหายและช่วยให้การขนย้ายมีรวดเร็วมากยิ่งขึ้น


2. ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม

บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยลด และป้องการ ให้ของที่เราขนย้ายปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ โดยการใช้กล่องกระดาษหรือภาชนะที่แข็งแรงเพื่อรองรับน้ำหนักของที่ขนย้าย ห่อหุ้มสิ่งของที่เปราะบางด้วยวัสดุป้องกัน เช่น พลาสติกกันกระแทก ฟองน้ำ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ จากนั้นควรใช้เทปกาวที่แข็งแรงปิดกล่องให้แน่นหนา ป้องกันการหลุดร่วงของสิ่งของระหว่างขนย้ายค่ะ


3. จัดระเบียบการขนย้ายให้เป็นระบบ

เมื่อทำการแพ็ก ห่อของที่ขนย้ายเรียบร้อยแล้ว รถรับจ้างอุดรธานี ขั้นตอนต่อไปคือการที่แยกประเภทของสิ่งของที่ต้องขนย้าย เช่น ของหนัก ของเปราะบาง ของใช้ประจำวัน เพื่อให้สามารถจัดเรียงได้อย่างเหมาะสม อีกอย่างคือติดฉลากบนกล่องให้ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดวางและแกะออกเมื่อถึงที่หมายค่ะ การจัดเรียงกล่องขณะ ขนย้าย ก็มีความสำคัญเช่นกันค่ะ ควรที่จะวางกล่องของที่มีน้ำหนักไว้ด้านล่างและของเบาไว้ด้านบน เพื่อลดความเสี่ยงที่ของจะเสียหาย และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ


4. เลือกวิธีการขนย้ายที่ปลอดภัย

หากขนย้ายด้วยตนเอง ควรใช้รถขนของที่เหมาะสมกับปริมาณและขนาดของสิ่งของ ใช้อุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ อย่าง เชือกหรือสายรัด ยึดของขณะขนย้ายเพื่อป้องกันสิ่งของเคลื่อนที่ระหว่างการขนส่งค่ะ แต่เพื่อความ สะดวก สบาย การที่เลือกใช้บริการขนส่งก็จะช่วยคุณได้เยอะค่ะ เพราะส่วนใหญ่แล้วบริษัทขนส่งจะมีประสบการณ์ในการขนย้ายและมีอุปกรณ์เซฟตี้ครบครันค่ะ แต่การเลือกบริการรถรับจ้างควรเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าคุณเองยังไม่มีเจ้าอื่นในใจ ลองเปิดใจให้ ขนส่ง เป็นผู้ช่วยในการขนย้ายของคุณนะคะ


5. ระมัดระวังระหว่างการขนย้าย

แน่นอนว่าการเลือกที่จะขนย้ายของเองจำเป็นต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น เพราะคุณเองอาจจะไม่มีประสบการณ์มายกของหนักๆ มาก่อนค่ะ รถรับจ้างอุดรธานี วิธียกของที่ถูกวิธีควรใช้ท่าทางที่ถูกต้อง โดยการงอเข่าและใช้แรงจากขาแทนที่จะใช้หลัง เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บค่ะ หลีกเลี่ยงการลากหรือโยนสิ่งของที่อาจทำให้เกิดความเสียหาย หากขนย้ายในพื้นที่แคบหรือมีสิ่งกีดขวาง ควรมีผู้ช่วยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ทั้งต่อตัวคุณเอง และต่อสิ่งของที่คุณขนย้ายด้วยค่ะ


6. ตรวจสอบหลังการขนย้าย

เมื่อการขนย้ายเสร็จสิ้น ควรเช็กสภาพสิ่งของหากพบความเสียหายควรดำเนินการแก้ไขทันที การที่ติดป้ายไว้บนกล่องจะช่วยให้สามารถจัดวางสิ่งของตามหมวดหมู่ที่กำหนดไว้ได้ค่ะ เพื่อลดเวลาการจัดเก็บภายหลัง ตรวจสอบว่ามีสิ่งของสูญหายหรือไม่ โดยใช้รายการที่จัดทำไว้ก่อนหน้านี้ตรวจสอบค่ะ

เพียงแค่นี้ก็สามารถ ขนย้ายของ ให้รวดเร็วและปลอดภัยแล้วค่ะ เพียงแค่อาศัยการวางแผนที่ดี การเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม และความระมัดระวังในการขนย้ายค่ะ การที่ดำเนินการตามขั้นตอนที่แนะนำนี้ รับรองว่าจะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและทำให้การขนย้ายเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

บริการรถรับจ้างอุดรธานี ขนย้ายง่าย สบายใจ ปลอดภัย 100% บริการขนย้ายครบวงจร ทั้งบ้าน หอพัก สำนักงาน และสินค้า รวดเร็ว ตรงเวลา ราคากันเอง ไม่มีบวกเพิ่ม ทีมงานมืออาชีพ ดูแลของคุณเหมือนเป็นของเราเอง ให้บริการทั่วอุดรธานี และจังหวัดใกล้เคียงค่ะ

9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


10
ติดต่อได้ทุกเวลาที่ต้องการความสะดวกในการจอง รถรับจ้างใกล้ฉัน รถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์ 24 ชั่วโมง

การขนส่งสินค้าและวัสดุเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการทางธุรกิจและการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา ในปัจจุบันที่การเคลื่อนย้ายของวัสดุเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาขนส่ง บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์ 24 ชั่วโมงกลายเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับความต้องการในการ ขนส่งสินค้า ขนย้ายบ้าน หอพัก คอนโด ขนย้ายเครื่องจักร ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่การค้าและการเคลื่อนย้ายสินค้ามีความต้องการสูงมาก หากคุณกำลังมองหาบริการที่สามารถติดต่อได้ทุกเวลาและมีความสะดวกสบายในการจอง รถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์  24 ชั่วโมง นี่คือบทความที่คุณต้องการ!รถกระบะรับจ้างขนสินค้าออนไลน์


1. ความสะดวกและใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง

บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์  24 ชั่วโมงไม่เพียงแค่การขนส่งสินค้าในเวลาที่คุณต้องการ แต่ยังมีความสำคัญในการติดต่อและจองบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงตามความสะดวกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน คุณสามารถใช้บริการนี้ทุกเวลาที่คุณต้องการโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา


2. ระบบการจองที่สะดวก

การจอง รถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์ ไม่ควรทำให้คุณยุ่งยาก บริการที่มีระบบการจองที่สะดวกสบายจะทำให้คุณสามารถทำการจองได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน มีแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่ทำให้คุณสามารถทำการจองด้วยคลิกเดียว ระบบนี้ยังสามารถแจ้งเตือนคุณเมื่อรถกำลังเข้ามาใกล้และเตรียมพร้อมที่จะรับของ


3. การติดต่อสะดวกผ่านช่องทางหลายชนิด

บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์  24 ชั่วโมงควรมีการติดต่อที่หลายชนิด เช่น โทรศัพท์ แชทออนไลน์ หรืออีเมล เพื่อให้คุณสามารถเลือกช่องทางที่สะดวกและเหมาะสมกับความต้องการของคุณ


4. ความปลอดภัยและการติดตาม

บริการขนส่งที่ยาวนานและมีความเชี่ยวชาญจำเป็นต้องมีการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการติดตามของสินค้าอย่างสูง การใช้ระบบการติดตามที่ทันสมัยเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจในการขนส่ง ระบบการติดตามที่ทันสมัยทำให้คุณสามารถมีมุมมองแบบเรียลไทม์ของตำแหน่งปัจจุบันของสินค้าได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ คุณยังสามารถตรวจสอบสถานะการขนส่ง วันเวลาที่คาดว่าจะถึง และข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง การรักษาความปลอดภัยของสินค้าเป็นพิเศษ บริการที่ดีควรมีมาตรการที่เชื่อถือได้เพื่อปกป้องสินค้าของคุณ


5. บริการที่คุ้มค่าและไม่มีค่าธรรมเนียมที่ซ่อนเร้น

บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์  24 ชั่วโมงควรมีโปรโมชั่นและราคาที่ทำให้คุณรู้สึกคุ้มค่า และไม่มีค่าธรรมเนียมที่ไม่ชัดเจนที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง

บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์  24 ชั่วโมงไม่เพียงแค่ทำให้คุณได้รับสินค้าของคุณทันเวลา แต่ยังมีความสำคัญในความสะดวกสบายในการจอง ติดต่อ และการเก็บข้อมูลที่ทันสมัยและครบถ้วน บทความนี้จึงหวังเพื่อช่วยคุณทราบถึงคุณสมบัติที่ควรมีในบริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์  24 ชั่วโมง เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การขนส่งที่สะดวกสบายและปลอดภัยที่สุดขนย้ายเครื่องจักร

ความหลากหลาย บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์

การขนส่งสินค้าทุกขนาดและทุกน้ำหนักเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปในประจวบคีรีขันธ์ บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์ขนส่ง ที่มีความหลากหลายในทุกขนาดและน้ำหนักกลายเป็นคำตอบที่ดีเยี่ยมสำหรับความต้องการที่หลากหลายนี้ นี้คือเหตุผลที่บริการนี้เป็นที่ต้องการในประจวบคีรีขันธ์

1. ความสามารถในการขนส่งทุกขนาด

บริการรถรับจ้างขนของในประจวบคีรีขันธ์ที่มีความสามารถในการขนส่งสินค้าทุกขนาด ทั้งจากขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ทำให้ธุรกิจและกิจกรรมในพื้นที่นี้สามารถทำงานได้โดยมีความสะดวก

2. การปรับตัวที่หลากหลาย

บริการนี้ไม่เพียงเตรียมพร้อมในการขนส่งสินค้าทุกขนาด แต่ยังมีทีมงานและรถรับจ้างที่ปรับตัวได้ตามความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าในจำนวนมากหรือขนาดใหญ่

3. บริการส่งถึงที่

ความหลากหลายในบริการรถรับจ้างขนของนี้ไม่เพียงแค่ขนส่งที่สถานที่ที่กำหนดไว้ แต่ยังสามารถจัดส่งถึงที่ต่าง ๆ ทั่วประจวบคีรีขันธ์ ทำให้ธุรกิจที่ต้องการการกระจายสินค้าสามารถได้รับประโยชน์

4. การจัดการสินค้าที่ปลอดภัย

รถรับจ้างขนของที่มีความหลากหลายนี้มีการจัดการและควบคุมสินค้าอย่างเข้มงวด เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าสินค้าของพวกเขาจะถูกดูแลอย่างดีที่สุด

5. การเลือกทางที่ดีที่สุด

ความหลากหลายในบริการรถรับจ้างขนของนี้ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกรูปแบบการขนส่งที่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขาได้ เช่น การขนส่งด่วน การขนส่งทางท่องเที่ยว หรือการขนส่งในกะทำการรับจ้างขนของ

การมีทุกขนาดทุกน้ำหนักและความหลากหลายใน บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจและกิจกรรมในพื้นที่นี้ ทำให้สามารถเลือกใช้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการและทุกขนาดของสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ค้นพบประสบการณ์การขนส่งที่ไม่เหมือนใครในประจวบคีรีขันธ์! บริการรถรับจ้างขนของเรา ด้วยบริการ รถกระบะรับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง รถสิบล้อรับจ้าง ที่ปรับเพื่อตอบสนองทุกความต้องการ เราสามารถขนส่งทุกขนาดและน้ำหนักของสินค้าของคุณ ทั้งนี้ให้คุณมั่นใจได้ว่าสินค้าของคุณจะถูกดูแลอย่างดีที่สุด การติดต่อเราเพื่อจองบริการได้ทุกเวลา 24 ชั่วโมง ผ่านทางโทรศัพท์ แชท หรืออีเมล คุณจะได้รับประสบการณ์การขนส่งที่รวดเร็ว ปลอดภัย และทันสมัย เชื่อมั่นได้ในบริการรถรับจ้างขนของเราเพื่อความสะดวกและประสิทธิภาพที่ทันสมัยที่สุด!

ทีมงานของเราพร้อมให้บริการทุกเวลา 24 ชั่วโมง! กรุณาระบุรายละเอียดและความต้องการของคุณ เรายินดีที่จะช่วยเสมอภาคและทำให้ประสบการณ์ของคุณกับบริการรถรับจ้างขนของเราเป็นที่ประทับใจ

11
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส สามารถลดโอกาสของการเกิดหินปูนได้จริงหรือไม่

หลายคนคงมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งคราบหินปูนนั้น เป็นอีกหนึ่งปัญหาเกี่ยวกับช่องปากที่เกาะตามผิวฟัน ซึ่งหลายคนอาจจะมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ในขณะที่จริงๆแล้วปัญหาคราบหินปูนนั้น เป็นอันตรายที่นำมาสู่ปัญหาช่องปากอื่นได้ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรมองข้ามคราบหินปูน เกิดจากคราบจุลินทรีย์ที่สะสมและจับตัวกับเชื้อโรคจนกระทั่งตกตะกอนจนกลายเป็นของแข็งที่เกาะอยู่บนผิวฟัน ซอกเหงือก ซอกฟัน โดยปกติแล้วคราบจุลินทรีย์เริ่มต้นที่เกาะอยู่บนผิวฟันก็จะมีลักษณะนิ่มและสามารถแปรงออกได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีแร่ธาตุจากน้ำลายมาผสมด้วยก็จะเกิดเป็นคราบหินปูน

ซึ่งเป็นของแข็งที่ไม่สามารถกำจัดออกได้เองต้องให้ทันตแพทย์ทำการขูดหินปูนออก ซึ่งการเกิดคราบหินปูนนั้น ก็มีผลข้างเคียง ก็คือทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบและถ้าหากปล่อยไว้นานๆอาจจะส่งผลทำให้กระดูกที่รองรับรากฟันค่อยๆ ละลาย ทำให้ฟันไม่แข็งแรง เกิดเลือดออกขณะแปรงฟัน เหงือกร่น ฟันผุและอาจนำไปสู่การสูญเสียฟันได้ หลายคนที่เข้ารับการจัดฟันไม่ว่าการจัดฟันรูปแบบใด ก็มักจะเจอปัญหาของคราบหินปูน เนื่องจากเรามีเครื่องมือแบบติดแน่นอยู่ภายในช่องปากอาจจะทำให้ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร นั่นก็หมายความว่าจะทำให้เราเกิดคราบหินปูนได้ง่ายขึ้นนั่นเอง และปัญหาคราบหินปูนดังกล่าวนั้น เป็นปัญหาช่องปากที่ควรได้รับการดูแลจากทันตแพทย์ควรได้รับการขุดหินปูนทุก 3-4  เดือน เพื่อช่องปากของเรามีความสะอาดและป้องกันการเกิดปัญหาอื่นๆที่จะตามมา

สำหรับใครที่เข้ารับการจัดฟันแบบใสและอาจจะเคยได้ยินว่า การจัดฟันแบบใสนั้น สามารถลดโอกาสการเกิดคราบหินปูนได้ ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการจัดฟันแบบใสว่าสามารถลดโอกาสของการเกิดคราบหินปูนได้จริงหรือไม่ ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงการดูแลรักษาฟันเพื่อป้องกันการเกิดคราบหินปูน ซึ่งการดูแลรักษาฟันให้ห่างไกลจากคราบหินปูนนั้นก็คือวิธีการแปรงฟันให้ถูกวิธีและสะอาด ควรแปรงฟันอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน ทั้งเวลาเช้าและเย็น และควรจะบ้วนปาก 2-3 ครั้ง หลังจากรับประทานอาหารและหลีกเลี่ยงการรับประทานของหวานระหว่างมื้ออาหาร ที่สำคัญควรพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อทำความสะอาดช่องปาก ดังนั้น ในเรื่องของการจัดฟันแบบใสที่หลายคนคงเคยได้ยินว่า จะช่วยลดโอกาสการเกิดคราบหินปูนได้นั้น ก็มีส่วนเพราะการจัดฟันแบบใส

ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องดูแลรักษาฟันมากเป็นพิเศษ และสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันแบบใสออกได้ขณะที่แปรงฟันจึงทำให้การดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าหากเทียบกับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบที่มีเครื่องมืออยู่ภายในช่องปากก็อาจจะมีเครื่องมือการจัดฟันเป็นอุปสรรคของการทำความสะอาดช่องปากและฟัน อาจจะทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง จึงก่อให้เกิดคราบหินปูนได้ง่ายกว่าผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส

ดังนั้น การจัดฟันแบบใสจึงสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดคราบหินปูนได้นั่นเอง นอกจากการจัดฟันแบบใส จะช่วยลดโอกาสในการเกิดคราบหินปูนแล้ว ยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง มีรอยยิ้มที่มั่นใจ สดใส เป็นธรรมชาติ

สำหรับใครที่สนใจอยากมีรอยยิ้มที่สวยงามเป็นธรรมชาติ ก็สามารถปรึกษาทันตแพทย์จากทางคลินิก ได้เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันแบบใสและบริการด้านทันตกรรมอื่นๆด้วย ทางคลินิกยังได้รับการรับรองขั้นสูงสุดจาก INVISALIGN ด้วย ดังนั้น การรักษากับทางคลินิกจึงมีความปลอดภัย ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติและยังช่วยส่งเสริมทำให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี

12
ขนาดและรูปแบบของท่อลมร้อนที่ควรใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม

ขนาดและรูปแบบของท่อลมร้อนที่ควรใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ลักษณะการใช้งาน ปริมาณลมที่ต้องการระบาย อุณหภูมิ และสภาพแวดล้อม โดยมีหลักเกณฑ์ในการเลือกดังนี้:

ขนาดของท่อลมร้อน

ขนาดเล็ก (เส้นผ่านศูนย์กลาง 4-8 นิ้ว):
เหมาะสำหรับใช้ในงานระบายอากาศทั่วไป เช่น ห้องทำงาน ห้องเก็บของ หรือบริเวณที่มีความร้อนไม่สูงมาก
เหมาะสำหรับใช้ในงานดูดควันหรือไอระเหยขนาดเล็ก

ขนาดกลาง (เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-24 นิ้ว):
เหมาะสำหรับใช้ในงานระบายอากาศในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ห้องผลิต หรือบริเวณที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่
เหมาะสำหรับใช้ในงานดูดควันหรือไอระเหยปริมาณมาก

ขนาดใหญ่ (เส้นผ่านศูนย์กลาง 24 นิ้วขึ้นไป):
เหมาะสำหรับใช้ในงานระบายอากาศในพื้นที่ที่มีความร้อนสูงมาก เช่น เตาเผา หรือเตาหลอม
เหมาะสำหรับใช้ในงานดูดควันหรือไอระเหยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

รูปแบบของท่อลมร้อน

ท่อลมร้อนโลหะ (เหล็ก สแตนเลส อะลูมิเนียม):
มีความแข็งแรงทนทานสูง ทนต่ออุณหภูมิสูงและแรงดันได้ดี
เหมาะสำหรับใช้ในงานอุตสาหกรรมหนัก หรือบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการกัดกร่อน

ท่อลมร้อนผ้าใบ (เคลือบซิลิโคน หรือ PVC):
มีความยืดหยุ่นสูง น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย
เหมาะสำหรับใช้ในงานระบายอากาศทั่วไป หรือบริเวณที่ต้องการความยืดหยุ่นในการติดตั้ง

ท่อลมร้อนอะลูมิเนียมฟอยล์:
น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาถูก
เหมาะสำหรับใช้ในงานระบายอากาศในอาคาร หรือบริเวณที่ไม่ต้องการความทนทานต่อแรงดันสูง

ท่อลมร้อน PVC:
มีความยืดหยุ่นสูง น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาถูก
เหมาะสำหรับใช้ในงานดูดฝุ่น หรือขี้เลื่อย

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
ลักษณะการใช้งาน: เลือกท่อลมร้อนให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน เช่น งานระบายอากาศทั่วไป งานดูดควัน หรืองานระบายความร้อนจากเครื่องจักร
ปริมาณลมที่ต้องการระบาย: เลือกขนาดท่อลมร้อนให้เหมาะสมกับปริมาณลมที่ต้องการระบาย
อุณหภูมิ: เลือกวัสดุของท่อลมร้อนให้เหมาะสมกับอุณหภูมิที่ใช้งาน
สภาพแวดล้อม: เลือกวัสดุของท่อลมร้อนให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น สารเคมี หรือความชื้น
งบประมาณ: เลือกท่อลมร้อนที่มีราคาเหมาะสมกับงบประมาณ

คำแนะนำเพิ่มเติม
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบระบายอากาศ เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกใช้ท่อลมร้อนที่เหมาะสมกับโรงงานของคุณ
ควรมีการบำรุงรักษาระบบท่อลมร้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย

13
เทรนด์บริการทำความสะอาด ที่กำลังมาแรง สะอาดแบบไหนดีต่อใจคุณที่สุด ?

การทำความสะอาดไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดตามบ้าน สำนักงาน หรือสถานที่สถานที่ต่างๆ นั้นนอกจากทำความสะอาดแบบทั่วไปแล้วยังมีขั้นตอนยิบย่อยแล้วแต่สถานที่ และเทรนด์การรับทำความสะอาดแบบใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการแบบใหม่เรื่อยๆ ด้วย

ปัจจุบันเทรนด์สำคัญตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีจะเป็นเทรนด์เกี่ยวกับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการใช้สารเคมีน้อยที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้อยู่อาศัยทั่วไปและผู้ให้บริการทำความสะอาดหรือเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านทั่วไป อย่างไรก็ตามยังมีเทรนด์ต่างๆมากมายที่มีมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการอย่างทั่วถึง จึงจะพาคุณไปรู้จักกับเทรนด์การทำความสะอาดใหม่ๆ และเปิดประสบการณ์ว่าการทำความสะอาดแบบไหนที่ดีต่อใจคุณที่สุด


รวมเทรนด์ทำความสะอาดแบบใหม่ ถูกใจสายคลีนอย่างเต็มประสิทธิภาพ

1. เทรนด์การทำความสะอาดแบบเป็นระบบ

การทำความสะอาดแบบระบบ เป็นการแบ่งพื้นที่บ้านออกเป็นโซนต่าง ๆ เช่น โซนห้องครัว โซนห้องนอน โซนห้องน้ำ เป็นต้น จากนั้นกำหนดตารางการทำความสะอาดเฉพาะสำหรับแต่ละโซน ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถแบ่งโซนตามการใช้งานหรือตามพื้นที่ได้ เช่น

    โซนห้องครัว : พื้น ผนัง ตู้ครัว อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
    โซนห้องนอน : พื้น เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง
    โซนห้องน้ำ : พื้น ผนัง สุขภัณฑ์ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า

การทำความสะอาดแบบระบบนี้จะช่วยให้การทำความสะอาดเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดเวลาและแรงในการทำความสะอาด ช่วยให้บ้านสะอาดและน่าอยู่มากยิ่งขึ้นทั้งนี้ในกรณีที่บ้านของคุณมีพื้นที่จำกัด คุณอาจแบ่งพื้นที่บ้านออกเป็นโซนตามพื้นที่ เช่น โซนพื้น โซนผนัง โซนเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น จากนั้นกำหนดตารางการทำความสะอาดสำหรับแต่ละโซน เช่น ทำความสะอาดพื้นทุกวัน ทำความสะอาดผนังสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์เดือนละ 1 ครั้ง เป็นต้น


2. เทรนด์การทำความสะอาดแบบสมาร์ท

การทำความสะอาดแบบสมาร์ท เป็นการการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการทำความสะอาด เช่น การใช้แอปพลิเคชันสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือการใช้กล้องวงจรปิดตรวจสอบความสะอาดของบ้าน เป็นต้น

การใช้แอปพลิเคชันสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เช่น สั่งงานเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ สั่งงานเครื่องล้างจาน เป็นต้น ช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นไปอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ให้บริการทำความสะอาดบ้านที่ต้องลดแรงงานและใข้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการรับทำความสะอาดบ้าน โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอย่างเช่นเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ หรือเครื่องฉีดน้ำและถูในการทำความสะอาดพื้น  เป็นต้น


3. เทรนด์การทำความสะอาดแบบรักษ์สุขภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การทำความสะอาดแบบรักษ์สุขภาพ เป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ไม่ก่อให้เกิดสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น การใช้เบกกิ้งโซดา น้ำส้มสายชู น้ำยาล้างจานที่เป็นธรรมชาติ เป็นต้น

ตัวอย่างง่ายๆ อาจจะเป็นเทรนด์การใช้เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ที่สามารถใช้ทำความสะอาดได้หลากหลายพื้นผิว เช่น พื้น ผนัง ห้องน้ำ ครัว เป็นต้น มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคและดับกลิ่นได้เป็นอย่างดี จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากกว่าการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีสารเคมี อย่างไรก็ตามสำหรับบริการรับทำความสะอาดบ้านมืออาชีพ อาจเปลี่ยนไปใช้น้ำยาทำความสะอาดแบบไร้สารเคมีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


4. เทรนด์การทำความสะอาดแบบมีส่วนร่วมด้วยกัน

การทำความสะอาดแบบมีส่วนร่วม เป็นการการปลูกฝังให้สมาชิกในครอบครัวมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้าน ช่วยให้ทุกคนมีวินัยในการทำความสะอาดและสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้าน การแบ่งหน้าที่ในการทำความสะอาดบ้านให้กับสมาชิกในครอบครัว เช่น เด็ก ๆ มีหน้าที่เก็บของเล่น ล้างจาน ผู้ใหญ่มีหน้าที่ทำความสะอาดห้องน้ำ ถูพื้น เป็นต้น จะช่วยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้าน และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง

ทั้งนี้การสร้างวินัยให้สมาชิกในครอบครัวของคุณมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้าน คุณอาจกำหนดตารางการทำความสะอาดสำหรับแต่ละคน หรืออาจให้แต่ละคนเลือกหน้าที่ในการทำความสะอาดที่ตนเองสนใจ เป็นต้น ทั้งในหลายๆครั้งการทำความสะอาดบ้านแบบนี้อาจยุ่งยากเพราะมันเป็นการสร้างวินัยใหม่ให้กับสมาชิกในบ้านดังนั้นหลายครั้งการใช้บริการรับทำความสะอาดบ้านอาจง่ายกว่า สะดวกกว่า และแน่นอนที่สุดคือมีประสิทธิภาพมากกว่า

เทรนด์ทำความสะอาดบ้านเหล่านี้ล้วนช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนสมัยใหม่ที่เร่งรีบและใส่ใจสุขภาพ แต่แบบไหนดีที่สุด ?

เทรนด์ทำความสะอาดแบบใดก็ถูกใจ หากเลือกใช้บริการทำความสะอาดมืออาชีพ

บริการ ทำความ สะอาด

ในยุคสมัยที่ผู้คนมีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การเลือกวิธีทำความสะอาดบ้านที่ตอบโจทย์ก็เป็นเรื่องสำคัญ เทรนด์ทำความสะอาดบ้านที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีหลากหลายรูปแบบอย่างที่เราได้เห็นกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเลือกใช้บริการทำความสะอาดมืออาชีพ เทรนด์ทำความสะอาดแบบใดก็ถูกใจได้ เพราะผู้ให้บริการทำความสะอาดมืออาชีพมีทักษะและประสบการณ์ในการทำความสะอาดบ้านเป็นอย่างดี สามารถทำตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้บ้านสะอาดและน่าอยู่อยู่อย่างสม่ำเสมอ

14
หมอประจำบ้าน: โรคลมร้อน (Heat stroke)

โรคลมร้อน (โรคลมแดด ฮีตสโตรก ก็เรียก) เป็นภาวะการเจ็บป่วยฉุกเฉินร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายสูญเสียกลไกปรับอุณหภูมิ* ไม่สามารถกำจัดความร้อน เป็นเหตุให้มีการสะสมความร้อนภายในร่างกายสูงมากจนส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมอง หัวใจ ตับและไต ซึ่งอาจมีอันตรายถึงเสียชีวิต มักเกิดขึ้นเมื่อร่างกายเผชิญกับคลื่นความร้อน (ซึ่งเกิดขึ้นในฤดูร้อน) หรือออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมท่ามกลางอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ทารก เด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 5 ปี) ผู้สูงอายุ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุมากกว่า 65 ปี) คนอ้วน ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (เช่น โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคหลอดเลือดสมอง พาร์กินสัน เป็นต้น) ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือขาดการออกกำลังกาย

นอกจากนี้ ผู้ที่กินยาบางชนิดที่ขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย (เช่น ยารักษาโรคจิตประสาท ยาแก้แพ้ ยาที่ออกฤทธิ์แอนติโคลิเนอร์จิก ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตา เป็นต้น) ผู้ที่เสพยา (โคเคน แอมเฟตามีน) ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากขึ้น

*ร่างกายของคนเราจะปรับอุณหภูมิให้อยู่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส (98.6 องศาฟาเรนไฮต์) อยู่ตลอดเวลา ถ้าร่างกายมีการสะสมความร้อนมาก (เช่น การเผาผลาญอาหาร การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อร่างกาย) ก็จะกำจัดความร้อนออกจากร่างกายโดยการแผ่รังสี (ความร้อนจะกระจายออกจากร่างกายที่ร้อนกว่าไปยังอากาศภายนอกที่เย็นกว่า แต่ถ้าอากาศภายนอกร้อนเกิน 35 องศาเซลเซียส หรือร้อนกว่าร่างกาย ร่างกายก็ไม่สามารถแผ่รังสีความร้อนออกไปข้างนอก) และระบายออกทางเหงื่อ (จะเกิดขึ้นเมื่ออากาศภายนอกร้อนกว่าร่างกาย หรือขณะออกกำลังกาย แต่ถ้าอากาศภายนอกมีความชื้นสูง ก็จะทำให้การระบายความร้อนออกทางเหงื่อด้อยประสิทธิผลลงไป) ดังนั้นการกำจัดความร้อนของร่างกายจะเป็นไปได้ยากเมื่ออยู่ในอากาศที่ร้อนและชื้น

สาเหตุ

1. เกิดจากการเผชิญกับอากาศร้อน เช่น การเกิดคลื่นความร้อน (คือ อุณหภูมิสูงผิดปกติอยู่เป็นเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์*) อาจทำให้เกิดโรคลมร้อนหรือฮีตสโตรกในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ร่างกายอ่อนแอจากภาวะการเจ็บป่วยซึ่งอยู่ในห้องที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือการถ่ายเทอากาศไม่ดี

2. เกิดจากการออกกำลังกายหรือทำงานใช้แรงกายอย่างหนักท่ามกลางอากาศร้อนและชื้น ในที่กลางแดด หรือในห้องที่ร้อนและปิดมิดชิด ร่างกายจะสร้างความร้อนมากเกินกว่าที่สามารถกำจัดออกไปได้ มักพบในนักกีฬา นักวิ่งมาราธอน นักปั่นจักรยานทางไกล นักขับรถแข่ง ทหาร (ที่ฝึกอยู่กลางแดด) คนงานก่อสร้าง เกษตรกร คนเร่ร่อน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอายุไม่มาก

3. ในเด็กเล็กที่ติดอยู่ในรถยนต์ที่ปิดประตูหน้าต่างอยู่กลางแดดเปรี้ยง ก็อาจได้รับอันตรายจากความร้อนร่วมกับภาวะขาดอากาศหายใจ

สาเหตุเหล่านี้ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดความร้อน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่หนา รัดรูป หรือไม่สามารถระบายความร้อนได้ ร่างกายมีภาวะขาดน้ำ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลส่งเสริมให้ร่างกายสูญเสียกลไกปรับอุณหภูมิมากยิ่งขึ้น) ทำให้มีอุณหภูมิแกน (core temperature โดยการวัดทางทวารหนัก) ขึ้นสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป ความร้อนจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ ถูกทำลายจนทำหน้าที่ผิดปกติไป และเกิดปฏิกิริยาการอักเสบของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง

*คลื่นความร้อน (heat waves) คือปรากฏการณ์ที่เกิดจากอากาศร้อนจัดสะสมอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งในแผ่นดิน หรือพัดพามากับกระแสลมแรงจากทะเลทราย เกิดเป็นคลื่นความร้อน ทำให้เกิดความแปรปรวนของความร้อนในอากาศ อุณหภูมิสูงผิดปกติอยู่เป็นเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์

ดัชนีค่าความร้อนขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศและแต่ละภูมิภาค สำหรับประเทศไทยกำหนดเกณฑ์ว่า อากาศร้อนมีอุณหภูมิระหว่าง 35-39.9 องศาเซลเซียส และอากาศร้อนจัดมีอุณหภูมิตั้งแต่ 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป

องค์การอนามัยโลก รายงานว่า ระหว่างปี 2541-2560 ทั่วโลกมีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคลมร้อนจากคลื่นความร้อนมากกว่า 166,000 ราย (ซึ่งพบในประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา และอินเดียเป็นส่วนใหญ่) เฉพาะในปี 2546 คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศทางยุโรป ทำให้มีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 70,000 ราย

จากรายงานของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปี 2558-2562 พบผู้เสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อนทุกปี (ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม) จำนวน 56, 60, 24 ,18 และ 57 รายตามลำดับ

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงจัด ร่วมกับอาการทางสมอง (เช่น เดินเซ สับสน พฤติกรรมแปลก ๆ ประสาทหลอน เพ้อคลั่ง ชัก หมดสติ) และมีประวัติเผชิญคลื่นความร้อน ออกกำลังหรือใช้แรงกายในที่ที่อากาศร้อน หรือติดอยู่ในรถยนต์ที่จอดอยู่กลางแดดร้อนนาน ๆ

ก่อนมีอาการทางสมองนับเป็นนาที ๆ ถึงชั่วโมง ๆ ผู้ป่วยมักมีอาการอื่น ๆ นำมาก่อน เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ปวดศีรษะแบบตุบ ๆ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดตามกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเป็นตะคริว กระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว หายใจตื้นและเร็ว เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

มีผลกระทบต่ออวัยวะแทบทุกส่วน เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่

    หัวใจ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ เลือดออกใต้เยื่อบุหัวใจ (subendocardial hemorrhage)
    ปอด ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ปอดอักเสบจากการสำลัก (aspiration pneumonia) ภาวะเลือดเป็นด่าง (respiration alkalosis) กลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome/ARDS)
    ไต ไตวายเฉียบพลัน
    เลือด ภาวะผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด (ทำให้มีเลือดออกง่าย) ภาวะเลือดจับเป็นลิ่มทั่วร่างกาย (DIC)
    กล้ามเนื้อ เซลล์กล้ามเนื้อถูกทำลาย (rhabdomyolysis) มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปัสสาวะสีดำหรือสีโคล่า
    สมอง อัมพาตครึ่งซีก หมดสติ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง เดินเซ ชัก
    ตับ ดีซ่าน เซลล์ตับตาย (hepatocellular necrosis) ตับวาย
    อิเล็กโทรไลต์ ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำหรือสูง ภาวะเเคลเซียมในเลือดต่ำ ภาวะโซเดียมในเลือดสูง ภาวะเลือดเป็นกรดจากกรดแล็กติก (lactic acidosis) ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะยูริกในเลือดสูง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

ไข้ (วัดทางทวารหนัก) มากกว่า 40 องศาเซลเซียส (บางรายอาจสูงถึง 47 องศาเซลเซียส) แต่ถ้ามีการปฐมพยาบาลด้วยการลดอุณหภูมิร่างกายมาก่อนก็อาจตรวจไม่พบไข้หรือไข้ไม่สูงมาก

มีอาการหน้าแดง ผิวหนังออกร้อน ในกลุ่มที่เกิดจากคลื่นความร้อนอาจพบผิวหนังแห้ง ไม่มีเหงื่อ ส่วนในกลุ่มที่ออกกำลังกายมากอาจพบผิวหนังแห้งหรือมีเหงื่อออกเล็กน้อยก็ได้

ชีพจรเต้นเบาและเร็ว หายใจตื้นและเร็ว

ความดันโลหิตอาจสูงหรือต่ำ หรือแรงชีพจร (pulse pressure) กว้าง (ความดันช่วงล่างหรือไดแอสโตลีต่ำ)

อาจตรวจพบภาวะแทรกซ้อนของระบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น ชัก หมดสติ เพ้อคลั่ง พฤติกรรมแปลก ๆ เดินเซ รูม่านตาโตทั้ง 2 ข้างและไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง จ้ำเขียวตามตัว ถ่ายเป็นเลือด ไอเป็นเลือด ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย

อาจพบกล้ามเนื้อเป็นตะคริว (เป็นก้อนเกร็งแข็ง) หรืออ่อนปวกเปียก

แพทย์จะทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง เจาะหลังนำน้ำไขสันหลังมาตรวจ เป็นต้น เพื่อประเมินอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ รวมทั้งตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกับโรคนี้

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษา ดังนี้

    ทำการแก้ไขภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับการหายใจ (เช่น ให้ออกซิเจน ใช้เครื่องช่วยหายใจ) ให้สารน้ำ (normal saline หรือ lactate ringer’s solution) ทางหลอดเลือดดำ
    รีบทำการลดอุณหภูมิร่างกายโดยเร็ว วิธีที่นิยมใช้กัน ได้แก่ การแช่ตัวผู้ป่วยในอ่างน้ำที่ผสมน้ำแข็ง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีกว่าวิธีอื่น และมักใช้เป็นวิธีแรกในการลดอุณหภูมิร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่เกิดจากการออกกำลังกายหรือทำงานใช้แรงกายอย่างหนักท่ามกลางอากาศร้อน*

ส่วนวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า ได้แก่ การพ่นฝอยละอองน้ำเย็น (ประมาณ 15 องศาเซลเซียส) ตามผิวกายของผู้ป่วยจนทั่วและใช้พัดลมขนาดใหญ่เป่า, การวางถุงน้ำแข็งตามศีรษะ คอ รักแร้ เเละขาหนีบ

บางกรณีแพทย์อาจใช้วิธีให้สารน้ำที่เย็นทางหลอดเลือดดำ บางรายอาจใช้วิธีสวนล้างกระเพาะอาหารหรือทวารหนักด้วยน้ำเย็น และในรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจใช้วิธีสวนล้างช่องท้องด้วยน้ำย็น

แพทย์จะทำการติดตามวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก พยายามทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงมาที่ประมาณ 39 องศาเซลเซียส และจะไม่ทำการลดให้ต่ำกว่า 39 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายลดลงต่ำเกินไป (over hypothermia)*

    ทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อประเมินอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ แล้วทำการแก้ไขภาวะผิดปกติตามที่ตรวจพบ
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้ (นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น แอสไพรินส่งเสริมให้เลือดออก พาราเซตามอลอาจมีพิษต่อตับ) และยาที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคนี้ เช่น ยาที่ออกฤทธิ์แอนติโคลิเนอร์จิก
    ถ้ามีอาการหนาวสั่น ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้น แพทย์จะบรรเทาอาการหนาวสั่นโดยให้ยาที่ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวลง เช่น กลุ่มยาเบนโซไดอะซีพีน (benzodiazepine เช่น ลอราซีแพม ไมดาโซแลม)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นก่อนมาถึงโรงพยาบาล ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องได้เร็ว ก็มีโอกาสรอดชีวิตถึงร้อยละ 90

แต่ถ้าปล่อยให้มีอาการนานเกิน 2 ชั่วโมงจึงได้รับการรักษา มีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 70

บางรายเมื่อรักษาจนฟื้นตัวดีแล้ว อาจมีอุณหภูมิแกว่งขึ้นลงอยู่นานนับสัปดาห์

บางรายอาการทางสมองอาจหายไม่สนิท มีบุคลิกภาพเปลี่ยนไป ท่าทางงุ่มง่าม หรือกล้ามเนื้อทำงานประสานกันไม่ดี

การดูแลตนเอง

หากเผชิญคลื่นความร้อน หรือออกกำลังหรือใช้แรงกายในที่กลางแดดหรือที่อากาศร้อน หรือติดอยู่ในรถที่จอดอยู่กลางแดดร้อนนาน ๆ แล้วมีอาการตัวร้อน ปวดศีรษะแบบตุบๆ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการทางสมอง (เช่น เดินเซ สับสน พฤติกรรมแปลก ๆ ประสาทหลอน เพ้อคลั่ง ชัก หรือหมดสติ) ควรทำการปฐมพยาบาลและนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

การปฐมพยาบาล

เมื่อพบผู้ป่วยมีไข้สูง ร่วมกับอาการทางสมอง และมีประวัติถูกคลื่นความร้อน ออกกำลังหรือใช้แรงกายในที่ร้อน ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลด่วน

ก่อนนำส่งโรงพยาบาล ควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

    พาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่ม ในรถปรับอากาศ ห้องที่มีความเย็นหรือห้องแอร์
    ถอดเสื้อผ้าให้เหลือเท่าที่จำเป็น
    ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ใช้พัดลมเป่า วางถุงใส่น้ำแข็งไว้ตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ และขาหนีบ
    ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดีให้ดื่มน้ำเย็น เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย
    ถ้าผู้ป่วยหมดสติ จับศีรษะหันให้หน้าเอียงไปทางข้างใดข้างหนึ่ง (เพื่อป้องกันการสำลัก) และให้การปฐมพยาบาลอาการหมดสติเพิ่มเติม ดังนี้

- ใช้นิ้วล้วงเอาอาเจียน เสมหะ ฟันปลอม สิ่งแปลกปลอมออกจากปากของผู้ป่วย

- ห้ามให้ผู้ป่วยกินหรือดื่มอะไรทางปาก

- ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น

- ให้ทำการกู้ชีวิต (ดูหัวข้อ "CPR")

    ถ้ามีอาการชักร่วมด้วย ให้การปฐมพยาบาลอาการชักเพิ่มเติม ดังนี้

- ป้องกันอันตรายหรือการบาดเจ็บ โดยให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในพื้นที่โล่งและปลอดภัย ไม่มีสิ่งกีดขวางหรือระเกะระกะอยู่ข้างกาย

- ถ้ามีเศษอาหาร เสมหะ หรือฟันปลอม ให้นำออกจากปาก ถ้าผู้ป่วยใส่แว่นตาควรถอดออก

- อย่าใช้วัตถุ (เช่น ไม้ ด้ามช้อน ปากกา ดินสอ) สอดใส่ปากผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้น เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจทำให้ปากและฟันได้รับบาดเจ็บได้

- อย่าผูกหรือมัดตัวผู้ป่วย อาจทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บได้

- อย่าให้ผู้ป่วยกินอะไรระหว่างชักหรือหลังชักใหม่ ๆ อาจทำให้ผู้ป่วยสำลักได้

นำส่งโรงพยาบาลโดยรถปรับอากาศ หรือเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท

การป้องกัน

ในการป้องกันอันตรายจากความร้อน (อากาศร้อน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดหรือเป็นโรคประจำตัว ควรปฏิบัติดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการออกกำลังหรือใช้แรงกายในที่ที่อากาศร้อนและชื้น

2. ถ้าจำเป็นต้องออกกำลังกายหรือใช้แรงกายในที่กลางแดดหรืออากาศร้อน ควรปฏิบัติดังนี้

    ก่อนออกกำลังควรดื่มน้ำ 400-500 มล. (ประมาณ 2 แก้ว) และระหว่างออกกำลังควรดื่มน้ำ 200-300 มล. (ประมาณ 1 แก้ว) เป็นระยะ ๆ (ประมาณทุก 20 นาที) เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
    ควรสวมเสื้อผ้าบาง ๆ หลวม ๆ มีลักษณะสีอ่อน และระบายความร้อนได้ดี
    เมื่อออกกลางแดด ควรสวมหมวกปีกกว้าง ใส่แว่นกันแดด และทายากันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป
    หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำ เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการกินยาที่ขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย
    ไม่ควรอยู่ในที่กลางแดดหรืออากาศร้อนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ควรกางร่มหรือหลบเข้าที่ร่มเป็นพัก ๆ

3. ในช่วงที่มีคลื่นความร้อน (อากาศร้อน) ควรอยู่ในห้องปรับอากาศ หรือในบ้านที่เปิดประตูหน้าต่าง มีพัดลมเป่าให้อากาศถ่ายเทสะดวก (อย่าอยู่ในห้องปิด หรือที่อับไม่มีอากาศถ่ายเท) ควรอาบน้ำบ่อย ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ สวมเสื้อผ้าบาง ๆ หลวม ๆ สีอ่อนและเท่าที่จำเป็น

4. สำหรับเด็กเล็ก ไม่ควรปล่อยเด็กไว้ในรถยนต์ตามลำพังแม้เพียงเดี๋ยวเดียว เมื่อไม่ใช้รถควรปิดประตูรถทุกครั้ง และเก็บกุญแจรถไว้ในที่มิดชิดหรือที่เด็กเอื้อมไม่ถึง

ข้อแนะนำ

1. โรคลมร้อน (heat stroke) เป็นโรคที่เกิดจากความร้อน (heat-related illness) ชนิดที่ร้ายแรงที่สุด ความร้อน (อากาศร้อน) อาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้อีกหลายลักษณะ* ดังนั้นเมื่อเผชิญกับความร้อนแล้วมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ควรสังเกตตัวเองว่าเป็นภาวะที่มีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด และให้การดูแลรักษาที่เหมาะสม

2. กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกิดจากความร้อน ได้แก่ ทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ผู้ที่กินยาบางชนิดที่ขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย ดังนั้นเมื่อเผชิญกับอากาศร้อน ควรระมัดระวังตัว และรู้จักหาทางป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเพลียแดด และโรคลมร้อน

*อาการเจ็บป่วยที่เกิดจากความร้อน ที่สำคัญ ได้แก่
1. ภาวะเป็นลมจากความร้อน (heat syncope) เกิดจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ความดันโลหิตลดลง เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง ขณะลุกขึ้นยืนเร็ว ๆ หรือยืนนาน ๆ ก็จะเกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลมหมดสติชั่วขณะ แล้วฟื้นคืนเป็นปกติได้เอง นับว่าเป็นภาวะที่มีความรุนแรงน้อย

การรักษา ควรรีบพาเข้าในที่ร่ม ให้ผู้ป่วยนอนราบหรือนั่ง ปลดเสื้อผ้าให้หลวมสบาย และให้ดื่มน้ำ (น้ำเย็น น้ำผลไม้ สารละลายน้ำตาลเกลือแร่) หากพบในผู้สูงอายุหรือมีอาการกำเริบบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาภาวะผิดปกติอื่น ๆ

2. ตะคริวจากความร้อนหรือตะคริวแดด (heat cramps) เกิดจากความร้อนทำให้เหงื่อออกมาก ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เกิดอาการกล้ามเนื้อเป็นตะคริว ซึ่งมักเป็นที่น่อง ต้นขา และไหล่

การรักษา ควรรีบพาเข้าที่ร่ม ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำกับเกลือแร่ (สารละลายน้ำตาลเกลือแร่) ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 1 ชั่วโมง หรือสงสัยเป็นภาวะหมดแรงจากความร้อนหรือโรคเพลียแดด (ซึ่งมักมีอาการเป็นตะคริวร่วมกับไข้และอาการอื่น ๆ) ควรรีบไปพบแพทย์

3. ภาวะหมดแรงจากความร้อนหรือโรคเพลียแดด (heat exhaustion) มีสาเหตุจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างมาก จากการมีเหงื่อออกมากหรือมีภาวะขาดน้ำที่รุนแรง มักเกิดอาการขณะออกกำลังหรือทำงานใช้แรงกายอย่างหนักท่ามกลางอากาศร้อน ผู้ป่วยจะมีอาการเหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เป็นลม กล้ามเนื้อเป็นตะคริวหรือปวดเมื่อย กระสับกระส่าย ปัสสาวะออกน้อย โดยไม่มีอาการผิดปกติของสมองหรือภาวะแทรกซ้อนเช่นเดียวกับโรคลมร้อน การตรวจวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก มีค่าระหว่าง 37-40 องศาเซลเซียส (ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส) อาจพบผิวหนังซีด เย็น มีเหงื่อชุ่ม ชีพจรเต้นเบาและเร็ว ความดันโลหิตลดต่ำลงในท่ายืน (ภาวะความดันเลือดตกในท่ายืน มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดเวลาลุกขึ้นยืน และทุเลาเมื่อนอนราบ) ภาวะนี้ถ้าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือ อาจรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นโรคลมร้อน เป็นอันตรายได้

การรักษา รีบพาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่ม ในรถปรับอากาศ ห้องที่มีความเย็นหรือห้องแอร์, ให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกเท้าสูงเล็กน้อย ปลดเสื้อผ้าให้หลวมสบาย, ให้ดื่มน้ำ (น้ำเย็น น้ำผลไม้ สารละลายน้ำตาลเกลือแร่), ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ใช้พัดลมเป่า วางถุงใส่น้ำแข็งไว้ตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ และขาหนีบ ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 15 นาที หรือสงสัยเป็นโรคลมร้อน ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน

4. โรคลมร้อน (ฮีตสโตรก) มีไข้ (วัดทางทวารหนัก) มากกว่า 40 องศาเซลเซียส ร่วมกับอาการทางสมอง ผิวหนังออกแดง ร้อน และแห้ง ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นภาวะหมดแรงจากความร้อนหรือโรคเพลียแดดนำมาก่อน หรือบางรายไม่มีก็ได้ หากพบผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคลมร้อน ควรรีบให้การปฐมพยาบาลและนำส่งโรงพยาบาลทันที การรักษาได้ทันท่วงทีจะช่วยให้ชีวิตรอดปลอดภัยได้

15
การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งกับความสำคัญต่อสุขภาพที่ควรรู้

แม้ว่าโรคมะเร็งนั้นมีความร้ายแรงจนอาจนำไปสู่การเสียชีวิต แต่การตรวจคัดกรองมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้แพทย์สามารถค้นหาเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ก่อนมีอาการปรากฏอย่างชัดเจน และก่อนที่มะเร็งขยายใหญ่หรือกระจายไปยังอวัยวะอื่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมีประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองมะเร็งนี้เป็นเพียงการตรวจหาเซลล์มะเร็งเท่านั้น ไม่ใช่การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งโดยตรง แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงหรือไม่ก็ตามและจะตรวจแม้ยังไม่มีอาการของโรคมะเร็งปรากฏ บทความนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความสำคัญและชนิดของการตรวจคัดกรองมะเร็งที่แตกต่างกันออกไป

การตรวจคัดกรองมะเร็งสำคัญอย่างไร

การตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นการตรวจหาร่องรอยของโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ในผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงและไม่มีอาการของโรคมะเร็ง ทำให้ช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบมะเร็งได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น และแพทย์สามารถรักษาอาการของโรคได้ง่ายขึ้น

แม้ว่าผลที่ได้จากการตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้จะไม่ยืนยันความแม่นยำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งได้ อีกทั้งประสิทธิภาพของการตรวจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหลาย ๆ อย่างรวมกัน

รูปแบบและวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งที่น่าสนใจ

การตรวจคัดกรองมะเร็งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่ต้องการตรวจ ซึ่งรูปแบบการตรวจที่ได้รับความนิยมและมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งนั้นมีดังนี้

การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)

การตรวจรูปแบบนี้ใช้เพื่อตรวจหา ป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ เพราะช่วยให้แพทย์สามารถพบติ่งเนื้อที่ผิดปกติในลำไส้ โดยแพทย์จะใช้กล้องส่องชนิดพิเศษ (Colonoscope) มีลักษณะเป็นท่อที่สามารถยืดหยุ่นได้ มีไฟและกล้องติดอยู่บริเวณปลายท่อสอดเข้าทางทวารหนักไปยังลำไส้ตรงและลำไส้ใหญ่ หากพบติ่งเนื้อในลำไส้  แพทย์อาจตัดติ่งเนื้อดังกล่าวบางส่วนไปส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อป้องกันการกลายเป็นมะเร็งในอนาคต โดยกลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับตรวจด้วยวิธีส่องกล้องสำไส้ใหญ่ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 50–75 ปี

การตรวจภาพรังสีเต้านม (Mammography)

การตรวจรูปแบบนี้มีประโยชน์อย่างมากในการลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งแพทย์จะให้ผู้เข้ารับการตรวจยืนหันหน้าเข้าหาเครื่องแมมโมแกรมและกดหน้าอกให้แนบกับเครื่องมือมากที่สุด ช่วยให้แพทย์เห็นภาพภายในเต้านม 2 ข้างในบริเวณทั้งหมดได้ และสามารถตรวจพบหากมีเนื้อเยื่อในบริเวณใดบริเวณหนึ่งมีลักษณะที่ผิดไปจากปกติ โดยกลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจภาพรังสีเต้านม คือ ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปและควรรับการตรวจปีละ 1 ครั้ง

การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear)

การตรวจแปปสเมียร์เป็นวิธีการที่ใช้ตรวจหามะเร็งปากมดลูก โดยแพทย์จะให้ผู้รับการตรวจนอนราบและขึ้นขาหยั่ง ก่อนจะค่อย ๆ สอดเครื่องมือชนิดพิเศษเข้าไปทางช่องคลอดและถ่างปากช่องคลอดเพื่อให้แพทย์สามารถเห็นถึงปากมดลูกได้ และแพทย์จะเก็บเซลล์ตัวอย่างในบริเวณปากมดลูกและบริเวณต่าง ๆ ของมดลูกเพื่อนำไปตรวจหาความผิดปกติต่อไป

การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (Low-dose Helical Computerized Tomography)

วิธีการนี้จะใช้เพื่อตรวจหาโรคมะเร็งปอด ซึ่งแพทย์จะตรวจโดยให้ผู้รับการตรวจนอนราบและนอนให้นิ่งที่สุด ก่อนที่โต๊ะรองนอนจะค่อย ๆ เครื่องเข้าไปยังอุโมงค์เครื่องเอกซเรย์ขนาดใหญ่ และเมื่อเครื่องจะเริ่มสแกนภาพ ผู้เข้าตรวจจะต้องกลั้นหายใจเพื่อให้เครื่องสแกนภาพปอดได้อย่างชัดเจน

การตรวจผิวหนัง (Skin Exams)

แพทย์จะใช้วิธีนี้เพื่อตรวจค้นหาโรคมะเร็งผิวหนัง โดยจะใช้แว่นขยายตรวจในบริเวณไฝ ปาน หรือร่องรอยอื่น ๆ บนผิวที่มีสี ลักษณะพื้นผิว รูปร่างหรือขนาดแปลกไปจากผิวส่วนอื่น ๆ โดยใช้เวลาไม่นาน แต่ทั้งนี้ การตรวจผิวหนังเบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตนเองเช่นกัน โดยเป็นการยืนตรงหน้ากระจกและสำรวจผิวหนังในบริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

นอกจากนี้ การตรวจคัดกรองมะเร็งยังสามารถทำได้ด้วยรูปแบบอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการตรวจความผิดปกติในยีนเพื่อตรวจหายีน BRCA1 และ BRCA2 ที่พบได้มากในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ หรือการตรวจตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarker) เพื่อตรวจหาสารผิดปกติที่อาจพบได้ในเลือด ปัสสาวะหรือของเหลวอื่น ๆ ในร่างกายที่อาจเป็นสัญญาณของการเกิดโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ถึงรูปแบบการตรวจที่เหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจแต่ละรูปแบบ

แม้ว่าการตรวจคัดกรองมะเร็งอาจช่วยให้ตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นและช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ แต่สิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้แก่ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายเป็นประจำ เลิกสูบบุหรี่และพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้สุขภาพดีก็จะอยู่กับเราได้ไม่ยาก

หน้า: [1] 2 3 ... 55